AFS Interview : พี่มอมแมม-ณัฐพร อุณหบัณฑิต USA#52

AFS Interview วันนี้เราจะพามาพูดคุยกับ  ‘พี่มอมแมม-ณัฐพร อุณหบัณฑิต’  ศิษย์เก่า AFS ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น 52 ฟรีแลนซ์ผู้ทำงานเป็น Visual Note Taker ให้กับหลาย ๆ องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ในประเทศและต่างประเทศ เช่น UNICEF, World bank, ADB, กสศ, สสส เป็นต้น

เล่าที่มาที่ไปหน่อย Visual Note Taker คืออะไร เรามาทำงานนี้ได้ยังไง

         Visual Note Taker ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คงจะเป็นผู้จดสรุปประชุมเป็นภาพ เวลามีงานประชุม Conference ต่าง ๆ เราจะเคยเห็นมีคนที่เขาจดสรุประหว่างประชุมใช่ไหมคะ นั่นแหละค่ะ แต่ของเราคือสรุปแบบวาดออกมาเป็นภาพเลย จบงานปุ๊ป ก็จะมีภาพสำหรับจัดแสดงได้เลย

          ตอนแรกแมมก็ทำงานพนักงานบริษัททั่ว ๆ ไป แต่มีพี่ท่านนึงมาบอกว่าเราเป็นคนจดโน้ตได้สวยมากเลย เราก็มีความสามารถทางด้านนี้ ทำไมเราไม่ลองไปทำละ ความจริงสิ่งที่เราทำเรียกว่า Visual Note ตอนนั้นเราก็งงว่าคืออะไร แต่เราก็ได้ไปลองทำ เป็นเหมือนงานอาสาก่อนอยู่ประมาณเกือบปี ลองหลายงาน ๆ แล้วก็ค่อย ๆ จับเป็นอาชีพได้มากขึ้น ก็เลยเลือกออกจากงานประจำค่ะ

เล่าที่มาที่ไปหน่อย Visual Note Taker คืออะไร เรามาทำงานนี้ได้ยังไง

         เรารู้สึกว่างานนี้มันตอบโจทย์ลึก ๆ ของเรา ความชอบและความสามารถทางด้านศิลปะ ที่เราสามารถจะฉายมันออกมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นจิตรกรจ๋า ๆ ขนาดนั้น เราไม่ได้ทิ้งองค์ความรู้ที่เราเคยมี การที่เราไปงานพวกนี้ เราใช้ความรู้ที่เรามี มาสรุป แล้วก็วาด มันเป็น Combination ที่เรารู้สึกว่ามันสนุกที่ได้ทำ และหลังจากที่ทำเสร็จ คนที่เค้าได้เห็นงานเรา เขารู้สึกว่า ‘เห้ย มันเท่มากเลย มันเจ๋งดีอะ’ ก็เลยอยากทำงานนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็มีงานเข้ามาจริง ๆ แบบที่เรารู้สึกว่าเราใช้งานนี้ Make a living ได้ บวกกับที่เราชอบความอิสระ ชอบเรียนรู้ และได้ไปที่ต่าง ๆ ได้ฟังนู้นนั้นนี้ ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเยอะแยะเลย

ขอย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของการเป็น #เด็กแลกเปลี่ยนAFS หน่อย เป็นยังไงบ้าง

         จริง ๆ เอเอฟเอสเป็นความฝันของคุณแม่ค่ะ ย้อนไปตั้งแต่สมัยนู้น เค้าเคยพูดตอนม.1 ก็พูดลอย ๆ แบบ ‘เอ้อ อยากให้ลูกไปเอเอฟเอสจัง’
พอตอนม.3 ที่โรงเรียนมีประกาศรับสมัคร เราก็เลยลองไปสมัครดู ยื่นใบสมัครอะไรเอง พอสอบผ่านถึงค่อยบอกแม่ว่าเราติดนะ เค้าก็กริ๊ดแบบดีใจมาก

ทำไมถึงเลือกไปเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา

          ต้องบอกว่าตอนแรกอยากไปญี่ปุ่นมากกว่า แต่คุณแม่บอกว่า ภาษาอังกฤษเรายังไม่ได้เลย แล้วไปญี่ปุ่น เราจะพูดอะไร (ขำ) แล้วอเมริกาเป็นประเทศที่คุณพ่อคุณแม่เจอกันค่ะ เค้าเจอกันที่ Texas เราก็เลยอยากไป แต่เราดันไปอยู่ Minnesota แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ไปนะ หลังจากนั้นเราชอบ Minnesota มาก ๆ ได้อยู่กับครอบครัวที่ดี อยู่กับโรงเรียนที่ Support มาก ๆ เป็น 1 ในโรงเรียนที่ดีที่สุดในการ Support เด็กแลกเปลี่ยนด้วย ทุกครั้งที่เรากลับไปหา เรารู้สึกมีครอบครัว มีที่ให้อยู่ ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกัน Keep in touch กันตลอด

         แต่ความจริงมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นอเมริกาอย่างเดียวนะ แมมมีเพื่อนที่สนิทกัน ไป AFS รุ่นเดียวกันเลย ไปปานามา ทุกวันนี้เขาได้ทำงานอยู่ในสถานฑูตกงสุลของไมอามี่ และเหตุผลที่ช่วยซัพพอร์ตให้เค้าได้ตำแหน่งคือ เพราะพูดภาษาสเปนได้ เลยอยากบอกว่า ทุกที่มันมีประโยชน์ของมันอยู่ ในทุก ๆ การแลกเปลี่ยน เราจะได้ Connection การทำทุกอย่างมันมีข้อดีของมัน ให้เราเก็บข้อดีเหล่านั้น มองมุมบวก แล้วทำให้เต็มที่

เล่าเรื่องของน้องมอมแมม เด็กแลกเปลี่ยน AFS เมื่อปี 2013 – 2014 ให้ฟังหน่อย

        ตอนนั้นได้ไปอยู่กับ Host Family ที่มีลูก 5 คน แล้วมีลูกเล็กอีก 1 คน ซึ่งลูก ๆ เค้าก็จะมีครอบครัวอีก เลยกลายเป็นว่าเราได้ไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ แล้วเราได้ไปเลี้ยงน้องคนเล็กสุด เรียกว่าภาษาอังกฤษเราได้ดี เพราะได้เลี้ยงน้องด้วยเลย เด็ก ๆ เค้าก็จะพูดช้า พูดซ้ำ ก็เหมือนได้ฝึกภาษาไปด้วย

        เราได้อะไรหลาย ๆ อย่างเลย เพราะลูกทั้ง 5 คนมีความชอบแตกต่างกัน บางคนชอบท่องเที่ยว เค้าก็จะพาแมมไปเที่ยวด้วย บางคนชอบตกปลา ก็ได้ไปตกปลาครั้งแรกในชีวิต และ Host sis เคยเป็น Volunteer ให้กับประเทศไทยด้วย

         Host Family เค้าโพสหาแมมแทบทุกปี แบบลงรูปแล้วเขียน Our elf  ล่าสุดครบรอบ 10 ปี แมมเลยได้กลับไปเยี่ยม ก็เอากางเกงช้างไปฝากเลย 30 ตัว เราขับรถไปที่โรงงานเลยเพื่อจะได้ไปหาของฝากไปให้เค้า เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าอยากทำให้จริง ๆ

        แล้วเรื่องที่ประทับใจมันมีหลายอย่างเลย ขนาดผ่านไปเป็น 10 ปีแล้ว เรายังจำได้ การที่เราไปแลกเปลี่ยน ไปอยู่ตรงนั้น เพื่อน ๆ พยายามทำให้เรารู้สึก Blend in ตอนที่ไปงานพรอมก็สนุกค่ะ ปกติเราเรียนหญิงล้วนมา ก็จะรู้สึกแบบ เอ๊ะ เราต้องไปขอผู้ชายเต้นรำ ก็เขิน ๆ ไม่ค่อยกล้า สุดท้ายเราก็ไปขอเพื่อนที่เป็นเกย์ แล้วเป็นเพื่อนสนิทเราด้วย เรายังจำบรรยากาศตอนนั้นได้อยู่เลยว่าเราไปขอเค้าแบบ ‘Would you like to go to prom with me?’ แล้วเค้าดีใจมาก

สิ่งที่เราได้หลังจากการไปเรียนแลกเปลี่ยน AFS

          ตลอด 1 ปี มันก็มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกได้แรงบันดาลใจ เอาจริง ๆ เราไม่ได้รู้สึกเปลี่ยนแปลงแบบ Transform ขนาดนั้น แต่การที่เราไปได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศคนเดียวเนี่ย มันได้สร้าง Skills ใหม่ ๆ ขึ้นมา ทำให้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้น ความจริงเราอาจจะรู้ตัวเอง แต่เราไม่กล้าที่จะเอาออกมา เช่น เราอยากทำสิ่งเนี่ย แต่อาจจะไม่กล้าทำ ด้วย Culture ไทย และอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ที่นั่น เค้าสอนให้ได้รู้ว่า คุณ good at อะไร แล้วพูดออกไปได้เลย ทำให้มันพาเราไปได้ง่ายขึ้น

       สิ่งหนึ่งที่แมมจำได้เลย คือตอนแลกเปลี่ยน ได้พูดกับเพื่อนที่เค้าเป็นประธานนักเรียนว่า ‘you ให้แรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นประธานนักเรียน’ พอแมมกลับมา เราก็พยายามที่จะชนะใจ 5,000 เสียงในโรงเรียน แล้วก็ได้เป็นประธานนักเรียนจริง ๆ เป็น achievment แรกที่ได้หลังจากกลับมา แล้วก็กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเองมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนจะเป็นหัวหน้าห้องก็ไม่กล้า แต่ครั้งนี้แหละ เป็นสิ่งที่เราเลือกเอง เราสู้เพื่อมันมาเอง

        นอกจากความเป็นผู้นำ ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องศิลปะ ก่อนที่แมมจะไปเนี่ย เราเลือกเรียนวิทย์-คณิต ก็อาจจะเหมือนเด็กไทยส่วนใหญ่ทั่วไป พอไปอยู่ตรงนั้น แล้วเราได้ทำศิลปะ มีอาจารย์คนนึงที่นู้น ชื่อ David Christopher บอกกับแมมเลยว่า มอมแมม คุณอย่าทิ้งศิลปะนะ ห้ามทิ้งเด็ดขาด คุณมีความสามารถมาก ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยพูดเลยนะว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราได้ทำศิลปะแล้ว คือเรารู้ว่าในอนาคตเราคงไปกับมันไม่ได้ ในเชิงของอาชีพแล้วมันอาจจะยาก แต่ไม่น่าเชื่อ แค่คำ ๆ นั้นของเค้า ความจริงจัง ทำให้เรายังจำได้ มันก้องดังมาตลอดแบบที่ตอนแมมทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องก็จะมีเสียงเค้าดังขึ้นมาว่า เราทำได้มากกว่านี้นะ

        ตอนเรียนที่นู้น ในคลาส Independent arts วันนั้น นั่งคุยกับอาจารย์ พูดกับเราแบบตาเป็นประกายว่าก่อนจะกลับ เราสนใจจะวาดกำแพงให้กับโรงเรียนไหม ก็เลยได้วาดกำแพงของโรงเรียน ตอนนั้นแมมก็ถามว่าให้แมมวาดคนเดียวหรอ เค้าก็บอก ใช่ This is you art works ตอนเรากลับไปเยี่ยม สิ่งที่เราวาดก็ยังอยู่ เราภูมิใจมาก คือเค้าให้เครดิตเราเลยว่าสิ่งนี้คือที่เราวาด

         การพบเจอประสบการณ์เหล่านี้ คนเหล่านี้ ทำให้เราหล่อหลอมกลายเป็นคนแบบนั้นด้วย คือ ถ้าเราเห็นใครเก่งอะไร เราก็จะดึงคน ๆ นั้นมา และให้เครดิตเค้าอย่างเต็มที่

หลังจากเรียนจบมัธยม เราได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรีด้วยใช่ไหม

         ใช่ค่ะ ตอนนั้นเราก็ทำเต็มที่เนอะ ก็ติดจิตวิทยา จุฬาฯ แต่เราได้ทุนเต็มจำนวน ของปัญญาภิวัฒน์ เป็นภาคอินเตอร์ สาขา Business แล้วเราคิดว่าพวก startup น่าจะมาแรง อะไรที่มันเป็นไอเดีย เราอยากขายไอเดียเรา เลยไปอันนี้เพราะคิดว่ามันตอบโจทย์เรามากกว่า ตอนที่เราเรียนที่นี่ เราก็ได้เรียนแลกเปลี่ยนที่ไต้หวันกับสวีเดนด้วย ตอนนั้นเราชอบไต้หวันมาก จนเราตั้งใจเลยว่าอยากไปอีก แล้วเราก็ได้ไปจริง ๆ คือไปเรียนปริญญาโทด้วยทุนรัฐบาลไต้หวัน (MOE) ช่วงที่ทำงาน เราผ่านการคัดเลือก Thailand Pavilion Ambassador เป็นตัวแทนคนไทยไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในงาน World Expo 2020 ที่ดูไบ และต้องบอกว่า จริง ๆ AFS เป็นก้าวแรกที่ทำให้แมมได้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมมันมีความสวยงามมากขนาดไหน และตัวเรานี่แหละคืออัตลักษณ์ที่ดีที่สุดในการเผยแพร่ความเป็นไทย

มีอะไรที่อยากฝากถึงน้อง ๆ ไหม

         พี่อยากให้น้องรู้ว่าการไปอยู่ที่นั่น เราสนุกให้เต็มที่ อันนี้ดีมากแล้ว แต่การเก็บประสบการณ์ที่เราได้มา การที่จะ keep ภาษา ทักษะต่าง ๆ หรือแนวคิดดี ๆ จากการไปเรียนแลกเปลี่ยน ทำให้มันยังอยู่กับเรา ตรงนี้อาจจะเป็นการบ้านที่น้อง ๆ ต้องไปทำด้วย เพื่อให้เราได้กลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่กล้า และสามารถไปได้ไกลขึ้น สู้ ๆ นะคะ💙

 

หากน้อง ๆ สนใจเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเอเอฟเอส ประเทศสหรัฐอเมริกา

Coming Soon! โครงการแลกเปลี่ยนระยะ 1 ปี รุ่นที่ 65 รอบสุดท้าย เดินทางปี 2569 ติดตามได้ที่👉 Year Programs

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่

https://lin.ee/1w8lCkcmt

Tel02 574 6197  (โครงการระยะ 1 ปี ต่อ 401-404) 0819274307 , 0817555012

#AFSThailand
#AFSBoardingSchoolPrograms
#AFSProgram