“ใครอยากไปประเทศเม็กซิโก ยกมือขึ้น! ?‍♀?‍♂”

 

วันนี้ ให้น้องโมณีก้า ศิศิรา วัฒนกุล นักเรียนเก่า AFS โครงการระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57 ประเทศเม็กซิโก มาเล่าประสบการณ์ 1 ปี ที่ประเทศเม็กซิโก  ให้ติดตามกันที่ Alumni Series ตอนใหม่ นี้ได้เลยค่ะ

•  •  •  •  • 

 

Host Family / ครอบครัวอุปถัมภ์

 

Hola a todos, soy sisi watt. mucho gusto!! เราชื่อศิศิรา วัฒนกุล (โมณีก้า) ปีที่แล้วเราได้ใช้เวลาค้นหาตัวเองในประเทศที่มีแต่คนตกใจว่าทำไมถึงเลือกไปที่นี่มันไม่อันตรายหรอ? หรือไม่ก็พูดทีเล่นทีจริงว่าอย่าลืมขนยากลับมาฝากนะซึ่งถามว่ามีไหม? ความจริงมันก็มีแหละแต่ของแบบนี้ที่ไหนในโลกก็มีถ้าคนมันอยากได้จริงๆเช่นเดียวกันกับพวกแก๊งค์นาโค่ แค่เพราะในซีรี่ย์คนเหล่านี้มาจากเม็กซิโกไม่ได้หมายความว่าประเทศอื่นบนโลกจะไม่มีคนแบบนี้  เอาล่ะ เราจะเริ่มสาธยายประสบการณ์และแก้ต่างให้เม็กซิโกอันเป็นที่รักของเรา เพราะเม็กซิโกน่ารักกับเรามาตลอดทั้งปีเลย ?

 

เริ่มจากเรื่องของครอบครัวอุปถัมภ์ ระหว่างเลือกรูปเรายิ้มไม่หยุดความทรงจำทั้งหลายผุดขึ้นมาอย่างไม่ปราณีต่อหัวใจเราเลย ? เราคิดถึงพวกเค้ามาก พวกเค้าทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นลูกอีกคนของเค้า บวกกับหน้าตาของเราที่ดันไปเหมือนโฮสโดยบังเอิญ(?) เราเลยรู้สึกว่าเค้าเป็นบ้านหลังที่ 2 จริงๆ  ขอเกริ่นก่อนว่า โฮสเรามาจากเม็กซิโกซิตี้แต่ย้ายเข้ามาที่ปาไรโซ่รัฐทาบัสโก (Paraiso, Tabasco) เพราะโฮสพ่อเป็นวิศวกรน้ำมัน แล้วเมืองเราอยู่ติดแหล่งขุดเจาะน้ำมัน เค้าเลยย้ายกันมาอยู่ที่นี่ ส่วนโฮสแม่เราเป็นแม่บ้านและทำธุรกิจส่วนตัว เรามีโฮสพี่สาวซึ่งย้ายไปเรียนในตัวเมืองกับโฮสน้องชายซึ่งเรียนคนละโรงเรียนกับเรา แต่พอตกเย็นจะกลับมาใช้เวลาด้วยกันเสมอเราเล่นอเมริกันฟุตบอล,บาสเกตบอล,แบตมินตัน,ออกไปวิ่งกับน้องอยู่บ่อยๆ ทำให้เราสนิทกับน้อง ส่วนโฮสพี่ให้คำปรึกษาเราเยอะมากๆ ถึงมากที่สุดถึงแม้จะเจอกันแค่เดือนละหน แต่เค้าช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่ไม่ง่ายมาได้ตลอด ส่วนโฮสพ่อกับโฮสแม่น่ารักมากๆ เราแทบจะไม่เคยเห็นเค้าทะเลาะกันเลย เค้ารับฟังความคิดเห็นเราเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเค้าดุเราเมื่อเราทำผิด ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเพราะเค้าไม่ได้เห็นเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแต่เค้าเห็นเราเป็นลูกอีกคน?

โฮสเราค่อนข้างมีฐานะ เราเลยได้ไปเที่ยวบ่อย ทุกวันเสาร์-อาทิตย์เค้าจะพาไปห้างไปกินอะไรอร่อยๆ ตลอดบ้านเราจัดปาร์ตี้บ่อยมาก เวลามีอะไรพิเศษนิดหน่อย (แค่นิดหน่อยจริงๆ เช่นปลูกต้นไม้ต้นใหม่, น้องหมาคลอดลูก หรือแม้แต่สาเหตุที่ว่า อยากเต้นเฉยๆ) เค้าจะชวนเพื่อนๆ หรือญาติๆ มากินเลี้ยงกันตลอดเปิดเพลงเสียงดังแล้วเต้นรำกันทั้งคืน ปาร์ตี้ที่นี่เลิกหลังเที่ยงคืนตลอด ตอนคริสมาสต์เราไปอยู่บ้านโฮาอาบูเอลิต้า (คุณยาย) ในเม็กซิโกซิตี้เป็นเวลา 1 เดือน เราเพลินจนลืมไปเลยว่าต้องกลับมาเรียนต่อ

โฮสสอนอะไรเราเยอะมาก ครั้งหนึ่งเรานั่งคุยกันเรื่องเกี่ยวกับสังคมโดยทั่วๆ ไปแล้วจู่ๆ โฮสมัมก็พูดขึ้นมาว่า “Todos sabemos amar, Solo que expresamos en diferentes maneras” แปลอย่างตรงตัวได้ว่า “พวกเราทุกคนต่างก็รู้จักรักนั่นแหละเพียงแต่เราแสดงออกมาในคนละรูปแบบกัน”  หลังจากฟังโฮสมัมพูดจบ เรารู้ทันทีเลยว่าประโยคนี้จะตราตรึงอยู่ในใจเราไปอีกนาน  เพราะการที่คุณไม่ได้กอดอาจไม่ได้แปลว่าคุณไม่รักการบอกรักของคุณ อาจคือการเฝ้ามองและส่งความปรารถนาดีอยู่ห่างๆ ก็เป็นได้

เรามีปัญหากับโฮสครั้งหนึ่งซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เราเกือบต้องย้ายโฮส แต่เรามานั่งคุยกันแล้วเค้าก็พูดว่า “ครอบครัวเราไม่ทิ้งกันหรอกนะ” แค่นั้นเราเลยอยู่กับเค้ามาตลอดวันสุดท้าย ก่อนที่เราจะต้องนั่งเครื่องบินไปเข้าค่ายจบที่เม็กซิโกซิตี้โฮสมาเคาะประตูห้องแล้วก็พากันเอาฟูก,หมอน,ผ้าห่มเข้ามานอนด้วย แล้วทุกคนก็ผลัดกันพูดสิ่งที่เราได้ทำให้เค้าทั้งน้ำตา ทำให้เราได้แต่คิดในใจจนต้องพูดออกมาว่าพวกคุณต่างหากที่ให้อะไรกับเราเยอะมากๆ

จนถึงตอนนี้ก็ยังคุยแชทกันทุกอาทิตย์อยู่เลยเพราะฉะนั้นน่ะนะจะกลับไปเยี่ยมแน่นอน:)

Si en una rosa estás tú 

Si en cada respirar estás tú 

Cómo los voy a olvidar?


Host School and friends / โรงเรียนและเพื่อนๆ

 

 

ในส่วนของโรงเรียนเราเข้าศึกษาที่ Colegio Jean Piaget ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเรา (มัมบอก) ใหญ่ที่สุดในที่นี้คือตามในรูปเลยตึกสองแถวลานกลางและสนามหญ้า ใหญ่จริงๆ… เราไม่ได้ไปโรงเรียนต่อเนื่องตลอดทั้งปีการศึกษาเพราะเรามีกิจกรรมทำนู่นทำนี่แล้วก็ออกไปเที่ยวกับเอเอฟเอสเยอะมาก เราเลยต้องเข้าพบครูใหญ่อยู่บ่อยๆ แต่เค้าก็ดูเหมือนจะใจดีให้เพราะเห็นเราเป็นนักเรียนต่างชาติ เนื้อหาที่โรงเรียนไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ส่วนที่หนักมากๆ ของโรงเรียนเราคือเค้าไม่มีคลาสภาษาสเปนให้ เราเลยต้องฝึกเองหมดเลย แรงกระตุ้นที่ดีที่สุดคือเวลาเพื่อนคุยกันแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็จะอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แล้วก็ไปตามหาคำศัพท์ เรามีครูที่ดูเหมือนจะช่วยสอนสเปนให้ 2 คน คนนึงเป็นครูภาษาอังกฤษ (ที่ต่อมากลายมาเป็นเพื่อนสนิทเราด้วย) กับอีกคนเป็นครูโยคะที่เคยไปอยู่อเมริกามาก่อน แต่โฮสเราก็ช่วยเยอะมากๆ วิธีฝึกภาษาของเราก็คือ ฟังเพลง ดูหนัง คุยกับเพื่อนกับโฮสเยอะๆ ที่สำคัญคือหาวิธีจำศัพท์ในแบบของตัวเอง เรามักจะหาคำไทยที่ออกเสียงคล้ายๆ กันมาช่วยจำ หรือไม่ก็แปะกระดาษไว้บนสิ่งของ พอเห็นเราก็จะจำได้

ส่วนเรื่องเพื่อนๆ ทุกคนที่นี่น่ารักมาก แต่ขอเตือนไว้ว่าอย่าไปหวั่นไหวกับใครๆ เพียงเพราะว่าเค้ามาทำตัวใกล้ชิดกับเราล่ะ ให้คิดไว้เสมอว่ามันเป็นวัฒนธรรม มิฉะนั้นจะโดนเฟรนด์โซน เพราะเพื่อนกันก็กอดกันหอมกันได้ในเม็กซิโกนะทุกคน แต่เพื่อนในห้องเราน่ารักมากๆ เวลาเราไม่เข้าใจอะไรก็จะตั้งใจอธิบายให้ฟัง ถึงแม้ภาษาอังกฤษเค้าจะไม่แข็งและภาษาสเปนเราจะอ่อนด๋อยก็ตาม เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆคือ ตอนวันเกิด ทุกคนจัดปาร์ตี้เซอร์ไพรส์ให้ พร้อมกับอาหารเม็กซิกันจานโปรดของเรา ทาโก้ เด โชริโซ่ ทุกคนใส่ใจในทุกรายละเอียด จำได้ว่าเราแพ้นมวัวเลยตั้งใจทำเค้กนมถั่วเหลืองมาให้พิเศษ และตอนเป่าเทียน แทนเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์(ฉบับเม็กซิกัน) เพื่อนๆร้องเพลงของ luis miguel ซึ่งเราชอบมากๆๆๆๆให้แทน ตบท้ายด้วยเกมตี Piñata ซึ่งเป็นประเพณีของเค้าว่าจะต้องตีก้อนกระดาษที่มีขนมซ่อนอยู่ข้างใน เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นถึงสีสันและความสุขของชีวิต

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราว่าเพื่อนที่สำคัญที่สุดในปีแลกเปลี่ยนก็คงหนีไม่พ้นเพื่อนแลกเปลี่ยนด้วยกันนี่แหละ (เราจะมีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนเหล่านี้ตามค่ายต่างๆ) เพราะเราเข้าใจกันมากกว่าใครๆ เราเข้าใจว่าการอยู่ห่างจาก comfort zone ของตัวเองนั้นมันยากขนาดไหน เราเข้าใจว่าความคิดถึงมันสามารถทำให้คนเราซึมเศร้าได้มากเพียงใด และเราพร้อมจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน ขอขอบคุณเพื่อนทุกๆคนกลับมาพร้อมกันนะ ชาวเม็ก57 ทุกคนเก่งที่สุด

Si no supiste amar

Ahora te puedes marchar

 


Best AFS Memory

 

มาถึงบทสรุปของปีแลกเปลี่ยนกันแล้ว หัวข้อที่ทางเอเอฟเอสกำหนดมาให้ใน EP นี้คือ best  AFS memory เราเลือกไม่ถูกเลยว่าจะพูดถึงเรื่องอะไร เพราะทุกอย่างในปีแลกเปลี่ยนดูเหมือนจะเป็น the best ไปหมด

เริ่มจากอาหารเม็กซิกันก่อนเลยละกัน เพราะทาโก้ (Taco) คือหนึ่งใน street food ที่อร่อยที่สุดในโลก เรากับโฮสพ่อจะพากันหนีโฮสแม่ไปกินทาโก้ข้างถนนทุกคืนวันพฤหัสฯ มีอาหารอีกหลายจานที่ติดใจเรา เช่น โมเล่ โปโซล กวาโกโมเล่ เอนชิลาดาส โชริโซ่ พิมพ์ไปก็น้ำลายไหลไป เรื่องนี้ไม่สามารถพิมพ์อธิบายเป็นประโยคได้จริงๆ ถ้าคุณได้ลองชิมแล้วจะรู้ว่ามัน… อร่อยปล่อยแสง!!!

เมืองเราอยู่ติดทะเล เห็นต้นปาล์มเรียงรายเต็มทาง ได้ยินอย่างนี้แล้วทุกคนคงจะต้องอิจฉาใช่ไหมล่ะ แต่นี่ปาไรโซ่จ่ะ ไม่ใช่ไมอามี่ บ้านเราอยู่ใกล้ทะเลก็จริง แต่เราไปทะเลไม่ถึงสิบครั้งในหนึ่งปี และด้วยความที่เมืองเราเล็กนิดเดียว (577.6 km²) บวกกับเป็นเมืองอุตสาหกรรม จึงไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก ในเมืองไม่มีห้าง ไม่มีโรงพยาบาล มีโรงหนังแค่โรงเดียว (ช่วง avenger end game ออกใหม่ๆ เราไปดู 6 รอบ ไม่ใช่แค่เพราะชอบมากนะ เพราะไม่มีเรื่องอื่นให้ดู ?) แต่ด้วยความที่เมืองเราเล็ก เลยทำให้เรารู้จักเกือบทุกคนในเมือง ยิ่งโฮสแม่เราพาไปร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างตอนวันสิ้นปีโฮสแม่ขับรถพาเราไปแจกสปาเกตตี้ให้คนยากจนในเมือง พอตกเย็นก็ไปร่วมรับประทานอาหารกับคนงานที่บ้านเค้า เราได้ทานสตูเนื้อสูตรเด็ด พลบค่ำเราไปร่วมปาตี้ของเพื่อนบ้านเพื่อเค้าดาวน์ เราว่าวันนั้นเป็นหนึ่งในวันที่เราชอบที่สุดในปีเลย

 

สิ่งที่ประทับใจเรามากที่สุด คือคนเม็กซิโก ทุกคนอัธยาศัยดีสุดๆ ยิ้มแย้มอยู่เสมอ รักความสนุก ความตื่นเต้น รักอิสระ รักเสรีภาพ เอาจริงๆ คนที่นั่นก็คือคนไทยในทวีปอเมริกาเหนือเลย ต่างกันนิดหน่อยตรงที่เค้าแตะเนื้อต้องตัวกันมากกว่าพวกเรา เวลาเจอกันจะต้องเอาแก้มชน เป็นการจุ๊บเบาๆ สำหรับเราเดือนแรกเจอคนกอด หอม ลูบหัว เราทำตัวไม่ถูกเลย อีกอย่างนึงคือการเราสามารถคุยกับคนแปลกหน้าโดยที่ไม่รู้สึก awkward เพราะเวลามีคนจาม เค้าจะพูดว่า “salude” แปลตรงตัวได้ว่า สุขภาพ ซึ่งหมายความว่า ขอให้แข็งแรง นั่นเอง เช่นเดียวกันเวลาเดินเข้าออกจากร้านอาหาร เค้าจะพูดว่า “provecho” แปลว่า กินให้อร่อยนะ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักกันก็ตาม เพราะนี่คือมารยาทเบื้องต้นของคนที่นั่น เราไปแรกๆ ก็งงสิ ถือว่าเป็น culture shock ที่รุนแรงที่สุดในปีแลกเปลี่ยน แต่พอชินแล้วกลับกลายเป็นว่าเราชอบเฉย กลับไทยมาแล้วไม่มีคนพูด “salude” ให้แล้วรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ

 

อย่างสุดท้ายที่เราจะขอฝากไว้ คือ เทศกาล เนื่องจากที่นี่ทุกวันสามารถเป็นเทศกาลได้ จัดงานเลี้ยงกันบ่อยเหลือเกิน เราจึงจะขอพูดถึงงานเทศกาล ซึ่ง ณ เวลานี้ใครๆก็คงรู้จักจากภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Coco นั่นก็คือ วันแห่งตวามตาย  “Dia De Los Muertos” หรือ Day Of The Dead เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว เราไปร่วมงานนี้ที่เม็กซิโกซิตี้มา สีฉูดฉาดตระการตา เหมือนในอย่างในหนัง ทุกคนพากันแต่งหน้าเป็นหัวกะโหลกเอย ซอมบี้เอย ใส่ชุดแฟนซีเอย แต่สิ่งที่เราประทับใจเกี่ยวกับเทศกาลนี้ไม่ได้มีแต่เปลือกนอก ลึกไปกว่านั้น เทศกาลนี้ได้มห้ข้อคิดกับเราว่า อย่าสงสารคนตายเลยแฮรี่ /ผิดเรื่องๆ/ เค้าสอนให้คนเป็นไม่จมไปกับความเศร้า และเรียนรู้ที่จะทำดีที่สุดในจุดที่ยืน เพราะเช่นเดียวกันเเมื่อเราตายไป โลกจะจดจำเราในแบบที่เราอยากจะให้พวกเค้าจดจำ

เคยมีคนถามเราว่ามีอะไรที่ไม่ชอบในเม็กซิโกไหม? เราตอบกลับไปว่า มี แต่มันก็เหมือนเวลาคนเราตกหลุมรักน่ะแหละ เราไม่สนหรอกว่าข้อเสียของเขาจะมากเพียงไร เพราะเราสนใจในข้อดี และเข้าใจในข้อเสียของเขา เช่นเดียวกันกับเราและเม็กซิโก เมื่อชอบเขา ก็อยากรู้เรื่องของเขา ถึงจะเป็นเรื่องไม่เท่ของเขาก็ตาม เพราะเรารักเม็กซิโกในแบบที่เม็กเป็น:))

 

หวังว่าใครก็ตามที่อ่านมาถึงตรงนี้จะได้รับแรงกดดัน เอ้ย แรงบันดาลใจในการไปแลกเปลี่ยน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเม็กซิโก เพราะที่ไหนก็มีมุมที่มีเสน่ห์ในตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นเม็กซิโกเราก็จะยิ้มแก้มปริ ? รวมไปถึงคนที่อยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วเบื่อญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา ออสเตรเลีย ก็ขอเชิญมาเม็กซิโก น้า

ปล1.เม็กซิโกมีอะไรมากกว่าที่คุณคิดแน่นอน รับรองจะติดใจ

ปล2.อ้อ แล้วก็อย่าลืม เม็กนะ ไม่ใช่แม็ก!

ปล3.สำหรับใครที่อยากจะเห็นรูปเพิ่มเติมจากประเทศเม็กซิโกและที่อื่นๆ ขอเชิญมาส่องแอคถ่ายรูปของเราได้ @mswshotsjpg

ปล4.ถ้าใครสงสัยว่าประโยคปิดท้ายบทความของเราคืออะไร เราจะเฉลยให้ตรงนี้ว่าวลีเหล่านี้คือเนื้อเพลงจากเพลงที่มีความหมายกับเรามากๆในปีแลกเปลี่ยน ลองไปเปิดฟังดูได้นะทุกคน!

Así se siente México en la piel


หากน้องๆ สนใจ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศเม็กซิโกได้ที่: https://afsthailand.org/countries/mexico/
สมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเอเอฟเอส:
https://afsthailand.org/study-abroad/




ติดตามข่าวสารของเอเอฟเอสประเทศไทยได้ทาง:
Website : http://afsthailand.org/
Facebook : https://www.facebook.com/afsthailandofficial/
Instagram : https://www.instagram.com/officialafsthailand/
Email : [email protected]
Tel : 02-5746197

#AFSThailand
#AFSProgram
#AFSIndia
#AFSAlumni
#AFSeffect